ในปัจจุบันนี้ รถยนต์ EV กำลังมาแรงอย่างมาก และรถไฟฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่ เพราะว่าในอดีต รถไฟฟ้า นั้นก็ถูกใช้งานในรูปแบบของรถที่ให้บริการในสถานที่ต่างๆมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในสนามกอล์ฟ รถรางไฟฟ้าในสวนสัตว์ จนมาถึงในตอนนี้ที่กำลังมาแรงอย่างมาก เนื่องด้วยกระแสของความนิยมของการปรระหยัดพลังงานของทั่วโลก จึงทำให้คนหันมานิยมกันมากในเวลานี้ และแน่นอนว่า ค่ายรถยนต์ทุกค่ายในตอนนี้ ต่างหันมาพัฒนา รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV กันเกือบหมดจะทุกค่าย ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และแน่นอนก็คงหนีไม่พ้นจีนยักษ์ใหญ่ของโลก ที่ได้มีการพัฒนารถไฟฟ้าพร้อมๆกันหลายยี่ห้อเลยทีเดียว
สำหรับชื่อ รถยนต์ไฟฟ้า รวมๆแล้วเรียกว่า รถยนต์ไฟฟ้า EV แต่ที่จริงแล้ว รถยนต์ที่ประหยัดพลังงานมีทั้งรถ EV และรถพลังงานทางเลือก ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน รถยนต์ไฟฟ้า EV จะวิ่งโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และจะใช้เพียงแค่พลังงานไฟฟ้าเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าจะเรียกชื่อเต็มในแบบฉบับของฝรั่งให้แตกต่างจากรถยนต์ประเภทอื่นจะเรียกว่า Battery Electric Vehicle (BEV) และในขณะที่รถพลังงานทางเลือกอื่นๆ จะมีชื่อเรียกที่หากหลายแบบ เช่น รถไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle (HEV)) จะเป็น รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานผสม ที่จะใช้ระบบขับเคลื่อน 2 แบบทำงานร่วมกัน ประกอบไปด้วยเครื่องสันดาปภายในที่ใช้เชื้อเพลิงจาน้ำมัน และมอเตอร์ไฟฟ้าจะใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ โดย 2 ระบบขขับเคลื่อนนี้ จะทำงานสลับกันไปมาได้อยู่ที่จังหวะขับเคลื่อน หรือการทำงานของรถยนต์ ข้อดีของระบบนี้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดน้ำมัน และรวมไปถึงช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่อีกด้วย
Mercedes Benz C300e
รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานผสมเสียบปลั๊ก (Plug – in Hybrid Electric Vehicle (PHEV)) เช่น Mercedes Benz C300e จะใช้พลังงานผสมระหว่างน้ำมันกับเชื้อเพลิง และใช้พลังงานไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊กที่สามารถชาร์จไฟได้ เป็นรถที่มีรูปแบบการทำงานและชิ้นส่วนต่างๆ คล้ายไฮบริด แต่จะมีระบบเติมไฟฟ้าจากภายนอกเข้ามาในตัวรถ โดยผ่านปลั๊กที่ติดกับรถ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้สามารถชาร์จไฟจากภายนอกได้ จึงทำให้สามารถขับขี่โดยใช้เพียงแค่ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และได้ระยะทางมากกว่ารถไฮบริด แต่ด้วยที่แบตเตอรี่มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้มีราคาสูงกว่าไฮบริดนั่นเอง
ปัจจุบันนี้คนทั่วโลกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับ รถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง Hybrid และ Plug – in Hybrid โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า Plug – in Hybrid ได้มีการผลิดและใช้ทั่วกันอย่างแพร่หลายในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นประเทศเยอรมนี สวีเดน นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ แต่สำหรับเอเชียในขณะนี้ได้กลายเป็นเทรนด์อย่างมาก แน่นอนว่าหากใครที่คิดอยากจะซื้อ ก็ต้องรู้ถึงข้อดีและข้อเสียก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์พลังงานเชื้อเพลงมาใช้ รถยนต์ไฟฟ้า EV
ข้อดีของ รถยนต์ EV
ข้อดีคือ ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะรถยนต์ประเภทนี้ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีราคาที่ค่านข้างสูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก็ตาม แต่ว่าแนวโน้มของราคารถยนต์ไฟฟ้า จะถูกลงเรื่อยๆ ประกอบกับค่าใช้จ่ายของเชื่อเพลิงที่ รถยนต์ EV ใช้ไฟฟ้าในการชาร์จเพื่อที่จะนำมาเป็นพลังงานนั้น ราคาถูกว่าน้ำมันที่มีราคาสูงกว่าค่าไฟฟ้า และช่วยลดมลภาวะทางเสียง เพราะรถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อนซึ่งจะต่างจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในการเผ้าไหม้จุดระเบิดที่ทำให้เกิดเสียงดัง รถยนต์ EV จึงมีเสียงที่เงียบและเป็นรถยนต์ที่รักโลกอีกด้วย ไม่ก่อมลพิษทางอากาศ เพราะจะไม่มีท่อไอเสีย แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องกำลังแรงม้า เพราะมีแรงบิดที่ดีกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน ทำให้อัตราการเร่งดีกกว่า แรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้มีมาก ไม่ต้องใช้เกียร์เพื่อทดกำลัง หรือใช้แบบ Single Speed ทำให้ชิ้นเคลื่อนไหวน้อยกว่าครึ่ง มีน้ำหนักเบาลง ช่วยลดการบำรุงรักษาได้มาก
รถยนต์ไฟฟ้า EV สามารถใช้ไฟบ้านชาร์จได้เลย เพียงแค่ต้องติดตั้งแท่นชาร์จแบบพิเศษหรือใช้ปลั๊กไฟเฉพาะเท่านั้น และข้อดีข้อสุดท้ายคือ ประหยัดค่าบำรุงรักษา และไม่ต้องเสียเวลาไปกับการนำรถเข้ารับบริการ เพราะ รถยนต์ไฟฟ้า EV ไม่มีเครื่องยนต์และชุดเกียร์จึงช่วยลดขั้นตอนในการบำรุงรักษาออกไป ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือ น้ำมันเกียร์นั่นเอง
ข้อเสียของ รถยนต์ไฟฟ้า EV
ข้อเสียของ รถยนต์ไฟฟ้า EV จะเป็นในเรื่องของค่าใช้จ่าย ที่ปัจจุบันนี้ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรถยนต์มี่ใช้เครื่องสันดาป แต่ถ้าหากรัฐบาลมีมาตรการที่สนับสนุนดีๆ ให้เหมือนกับต่างประเทศ ก็อาจจะทำให้ราคานั้นถูกลงก็ได้ เช่น ได้ขึ้นทางด่วนฟรี ลดภาษี รถไฟฟ้า ให้ต่ำกว่ารถทั่วไป ลดภาษีสรรพสามิต ผู้ผลิตรถ EV เสียภาษีนิติบุคคลธรรมดา หรืออากรสินค้าต่ำกว่าทั่วไปเป็นต้น สถานีบริการสำหรับชาร์จไฟยังไม่ครอบคลุม และใช้เวลานานในการชาร์จไฟแต่ละครั้ง ราวๆ 6-8 ชั่วโมง ถึงแม้จะเป็นการชาร์จไฟที่เร็วขึ้น แต่ก็ยังต้องใช้เวลานานราวๆ 30 นาที ถึง 4 ชั่วโมงจะขึ้นอยู่กับระบบและกระแสไฟฟ้าที่จ่ายและประเภทของแบตเตอรี่ เมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่หมดก็ไม่สามารถใช้แบตเตอรี่ได้จากแหล่งอื่นมาจัมพ์ได้ ต้องเรียกศูนย์ที่ให้บริการหรือรถสไลด์มาเท่านั้น หาก รถยนต์ EV เสียหรือมีปัญหา อาจจะไม่มีทางเลือกอื่นในการหาสถานที่ซ่อม ต้องเข้าใช้บริการศูนย์ซ่อมหรือเจ้าของแบรนด์ไปก่อน แต่ถ้าข้างนอกมีควสามเชี่ยวชาญ หรือมีความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น ก็น่าจะเป็นอีกช่องทางเลือกในการส่งรถเข้าไปใช้บริการ และนี้ก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียให้ทุกท่านได้ตัดสินใจก่อนจะตัดสินใจ